สวนผักในตัวอาคารที่เรียกว่า Vertical Farming ของบริษัท AeroFarms ในรัฐ New Jersey ต่างจากสวนผักแบบดั้งเดิมที่เราเห็นกันทั่วไป เพราะตั้งอยู่ภายในตัวอาคารที่อยู่ในตัวเมือง Newark
บริษัทนี้ปลูกผักใบเขียวได้ตลอดทั้งปี โดยใช้เเสงจากหลอดไฟระบบ LED ที่ประหยัดและทนทานกว่า ใช้ระบบให้สารอาหารผ่านทางรากที่เรียกว่า aeroponic mist และใช้ผ้าในการปลูกซึ่งยังนำไปหมุนเวียนใช้ใหม่ได้
นาย David Roseberg ผู้ร่วมก่อตั้งและซีอีโอของบริษัท AeroFarms กล่าวว่า การตัดสินใจพัฒนาการเพาะปลูกผักใบเขียวเเบบใหม่นี้ เป็นผลดีต่อทั้งบริษัทและต่อสิ่งเเวดล้อม
วิธีปลูกผักในร่มนี้ลดการใช้น้ำลงมาได้ถึง 95 เปอร์เซ็นต์ และภายในราว 16 วัน สวนผักในตัวอาคารของบริษัทให้ผลผลิตต่อหนึ่งตารางฟุต สูงกว่าการปลูกในไร่นาทั่วไปถึง 80 เท่าตัว การปลูกผักในตัวอาคารของบริษัท AeroFarms ยังใช้ปุ่ยน้อยกว่าการปลูกผักวิธีดั้งเดิมถึงครึ่งหนึ่งและไม่ใช้สารเคมีฆ่าเเมลง
บริษัท AeroFarms ดำเนินธุรกิจปลูกผักในร่มเเล้วใน 4 ทวีปด้วยกัน และสวนผักในอาคารพื้นที่รวม 65,000 ตารางเมตรภายในตัวเมือง Newark กำลังจะเริ่มดำเนินการในเร็ววันนี้ ทางบริษัทได้ตั้งเป้าหมายที่จะเพิ่มประสิทธิภาพของการผลิตให้สูงขึ้น และจะขยายธุรกิจปลูกผักในร่มออกไปทั่วโลก
นาย Marc Oshima หัวหน้าฝ่ายการตลาดบริษัท AeroFarms กล่าวว่า ทางบริษัทมองว่าเมืองใหญ่เป็นโอกาสทางธุรกิจปลูกผักในร่ม โดยดูปัจจัยของความหนาเเน่น จำนวนประชากร และผู้บริโภคผักใบเขียว
สวนผักในร่มของบริษัทยังมีห้องทดลองชิมผักอีกด้วย Alina Zolotareva นักโภชนาการอาหารที่บริษัท AeroFarms กล่าวว่า เป้าหมายของเธอคือการกระตุ้นให้คนอเมริกันรับประทานผักใบเขียวกันมากขึ้น เพื่อผลดีต่อสุขภาพ ดังนั้นรสชาดของผักจึงเป็นปัจจัยสำคัญ
เธอกล่าวว่าชาวอเมริกันรับประทานผักน้อย ทางบริษัทจึงมุ่งผลิตผักที่มีรสชาดหลากหลายเพื่อทำให้ผักกินง่ายและไม่น่าเบื่อ
โรงเรียนมัธยมต้น Phillip’s Academy ที่ตั้งอยู่ใกล้กับสวนผักของบริษัท ก็ได้นำวิธีปลูกผักใบเขียวในร่มไปทดลองในโรงเรียนเเล้ว เพื่อเก็บผลผลิตผักที่ได้เข้าโครงการอาหารกลางวันที่โรงเรียน
จากความเชื่อที่ว่า “อีก 50 ปีข้างหน้า ประชากรโลกจะเพิ่มจาก 6.2 พันล้านคนไปเป็น 9.5 พันล้านคน แต่ในขณะที่ปัจจุบันเรากลับใช้พื้นที่ที่มีศักยภาพในการทำเกษตรไปแล้วถึง 80 เปอร์เซ็นต์ เมื่อถึงตอนนั้นการเกษตรแบบเดิมจะเลี้ยงคนทั้งโลกได้อย่างไร” จึงเป็นที่มาของแนวคิดในการทำเกษตรกรรมแนวดิ่ง (Vertical Farming) ของ Prof. Dickson Despommier แห่งมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ประเทศสหรัฐอเมริกา
เพราะการทำเกษตรในปัจจุบันนั้นอยู่ในพื้นที่ที่ห่างไกลจากเมือง นั่นหมายถึงต้องมีการขนส่ง ทำให้ต้องใช้พลังงานมาก รวมทั้งค่าใช้จ่ายในการดูแลโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ
การย้ายไร่นามาอยู่บนอาคารในเมืองเป็นการผลิตที่ใกล้ผู้บริโภคและสามารถควบคุมให้มีการรบกวนต่อสิ่งแวดล้อมให้น้อยที่สุด อีกทั้งจะเกิดแรงงานในภาคการเกษตรรูปแบบใหม่ โดยการเกษตรแบบแนวดิ่งกลางเมืองใหญ่จะผลิตอาหารที่สังคมชนบทเคยผลิตด้วยวิธีการที่ควบคุม พืชผลจะไม่ถูกรบกวนโดยสภาพอากาศ และยังช่วยลดภาวะโลกร้อนเนื่องจากไม่ต้องมีการขนส่งผลผลิตจากชนบทเข้ามาสู่เมือง เมื่อพื้นที่การทำเกษตรแนวราบมีความจำเป็นน้อยลง เราจึงสามารถปล่อยพื้นที่ดังกล่าวกลับคืนสู่ธรรมชาติด้วยการสร้างพื้นที่ป่าบนผืนเกษตรที่ทิ้งแล้ว เพื่อให้ดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากชั้นบรรยากาศต่อไป
เทคโนโลยีที่ใช้เพื่อทำฟาร์มในอาคารนั้นมีตั้งแต่การติดแผง Solar Cell ที่อยู่เหนือยอดตึกซึ่งสามารถหมุนตามดวงอาทิตย์ได้ รวมไปถึงกังหันลมที่ช่วยดักลมเพื่อนำมาผลิตพลังงานไฟฟ้า พืชผักเหลือทิ้งหรือมูลสัตว์ที่เลี้ยงในอาคารจะถูกนำมาทำพลังงานชีวมวล รูปทรงของอาคารถูกออกแบบให้เป็นทรงกระบอกเพื่อให้แสงสว่างส่องเข้ามาอย่างมีประสิทธิภาพ กระจกจะถูกเคลือบด้วย Nano Titanium เพื่อให้สามารถทำความสะอาดตัวเองได้ โดยอาคารจะถูกควบคุมด้วยคอมพิวเตอร์และซอฟท์แวร์ Smart Farm ซึ่งจะทำให้อาคารนี้ทำการเพาะปลูกพืชได้ 24 ชม. ทั้งปี พืชที่ปลูกนั้นจะไม่ใช้ดิน แต่จะปลูกโดยการจุ่มรากในน้ำหรืออากาศ แล้วสเปรย์ความชื้นกับสารอาหารให้ จึงทำให้สามารถเรียงแปลงปลูกซ้อนๆ กันได้ และน้ำที่เกิดจากการคายน้ำของพืชจะมีความบริสุทธิ์สูง เราสามารถดักจับความชื้อแล้วนำน้ำมารวมกันบรรจุขวดขายได้ โดยน้ำเสียที่เกิดจากกิจกรรมในอาคารนี้ สามารถกรองและนำกลับมาใช้ใหม่เพื่อรดน้ำให้พืชได้
การออกแบบทั้งหมดที่กล่าวมาอาจฟังแล้วดูเหมือนความเพ้อฝัน แต่แนวคิดดังกล่าวไม่ใช่เรื่องเพ้อฝันอีกต่อไป เพราะเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมาได้มีการลงนามข้อตกลงระหว่าง มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีนานยาง แห่งสิงคโปร์ (NTU) ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยด้านวิศวกรรมชั้นนำของเอเชียกับบริษัทแพลนทากอน (Plantagon) ซึ่งเป็นบริษัทที่วิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีเกษตรกรรมแนวดิ่ง เกษตรกรรมในเมือง โดยมีเป้าหมายจะให้สิงคโปร์เป็นศูนย์กลางเทคโนโลยีเกษตรแนวดิ่งและเกษตรในเมืองของเอเชีย
หากการเกษตรแนวดิ่งในไทยเกิดขึ้นจริงบ้าง งานนี้เกษตรกรไม่ต้องง้อน้ำฝนจากธรรมชาติอีกต่อไป อีกทั้งตะไคร้คงไม่ต้องปักอีกแล้ว เพราะได้ป่าคืนน้ำไม่ท่วมแน่นอน เอ้า รอลุ้นกันอีกทีว่าตื่นจากความฝันแล้วความจริงจะเป็นยังไงต่อไป...เรื่องดีๆ แบบนี้ขอเอาใจช่วย