
การปลูกพืชด้วยระบบไฮโดรโพนิกส์นั้นจะมีการกำหนดค่า pH ของการปลูกพืชเป็น 2 ระยะ คือ
ระยะที่ 1 (ระยะเจริญเติบโต) อยู่ในช่วงวันที่ 1 - 28 กำหนดค่า pH อยู่ที่ 5.8 - 6.5
ระยะที่ 2 (ระยะสร้างผลผลิต) อยู่ในช่วงวันที่ 29 ขึ้นไป กำหนดค่า pH อยู่ที่ 6.5 - 7.0
ข้อควรระวังในการปรับค่า pH
การปรับค่า pH ค่อยปรับด้วยความระมัดระวัง และค่อยปรับลดลง อย่าปรับค่า pH ให้ต่ำเกินกว่า 4 จะทำให้รากพืชได้รับอันตรายจากการกัดกร่อนของกรด จนทำให้รากพืชอ่อนแอ และเชื้อโรคเข้าทำลายได้ง่ายขึ้น ค่า pH ที่ต่ำเกินไปยังส่งผลให้ความเข้มข้นของธาตุเหล็กในระบบปลูกมีสูงขึ้น ถ้าธาตุเหล็กในระบบปลูกมีมากเกินไปจะเป็นพิษกับพืชได้ ในทางกลับกันถ้าปล่อยให้ค่า pH สูงเกินกว่า 7 เป็นระยะเวลาติดต่อกัน 2 - 3 วัน จะส่งผลต่อการดูดซึมธาตุอาหารพืช เช่น ฟอสฟอรัส, เหล็ก, แมงกานีส โดยค่า pH ที่เหมาะสมคือ 5.8 - 6.3

ค่า EC คือ ค่าเหนี่ยวนำกระแสไฟฟ้าในของเหลว ในการปลูกไฮโดรโพนิกส์หมายถึงปริมาณแร่ธาตุที่ละลายอยู่ในของเหลว โดยปกติน้ำบริสุทธิ์จะมีค่านำกระแสไฟฟ้าต่ำหรือมีค่าเป็นศูนย์ แต่เมื่อมีการเติมสารละลายต่างๆ ลงในในน้ำนั้นจะทำให้ค่าสารละลาย หรือค่านำกระแสไฟฟ้าในน้ำนั้นๆ สูงขึ้นด้วย
พืชแต่ละชนิดจะมีความต้านทานต่อค่า EC หรือ (ความเข้มข้นของธาตุอาหารพืช) ที่ไม่เท่ากัน ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์, อายุของพืช และสภาพแวดล้อมในการปลูกขณะนั้นด้วย หากเราใช้ค่า EC ไม่เหมาะสมกับพืช แล้วจะทำให้พืชนั้นเจริญเติบโตไม่เป็นปกติ หรือขาดความสมบูรณ์ได้ ปัจจัยที่เป็นตัวกำหนดค่า EC คือ
1. ชนิดและสายพันธุ์พืช กล่าวคือ พืชต้องอาศัยการคายน้ำทางใบเพื่อให้เกิดแรงดันที่รากพืชเพื่อให้น้ำที่ผสมธาตุอาหารซึมผ่านจากรากไปยังส่วนต่างๆ ของพืชได้ หากค่า EC สูงกว่าค่ามาตราฐาน ของพืชชนิดนั้นๆ พืชจะไม่สามารถนำพาน้ำที่มีธาตุอาหารไปยังส่วนต่างๆของพืชได้ ส่งผลให้พืชเจริญเติบโตได้ไม่ดี และเกิดขาดธาตุอาหารต่างๆ ได้
2. อายุของพืช กล่าวคือ พืชในแต่ละช่วงอายุจะมี การใช้ธาตุอาหารไม่เท่ากัน โดยจะแบ่งออกเป็น 3 ช่วงของการเจริญเติบโต ดังนี้
ชนิดพืช
|
ค่า EC
|
ค่า pH
|
กล้วย
|
1.8 - 2.2
|
5.5 - 6.5
|
กวางตุ้งใบ, กวางตุ้งดอก, ฮ่องเต้
|
1.5 - 2.5
|
6.0 - 7.0
|
กะหล่ำดอก
|
1.5 - 2.0
|
6.5 - 7.0
|
กะหล่ำปลี, กะหล่ำดาว
|
2.5 - 3.0
|
6.5 - 7.0
|
ข้าวโพดหวาน
|
1.6 - 2.4
|
6.0
|
แครอท
|
1.6 - 2.0
|
6.3
|
เซอลารี่
|
1.8 - 2.4
|
6.5
|
แตงกวา
|
1.7 - 2.5
|
5.5
|
แตงกวาซูกินี
|
1.8 - 2.4
|
6.0
|
แตงโม
|
1.8 - 2.4
|
5.8
|
ถั่ว
|
2.0 - 4.0
|
6.0
|
บลอคเคอรี่
|
2.8 - 3.5
|
6.0 - 6.8
|
บลูเบอรี่
|
1.8 - 2.0
|
4.0 - 5.0
|
บาเซิล, โหระพา
|
1.0 - 1.6
|
5.5 - 6.0
|
บีทรูท
|
1.8 - 5.0
|
6.0 - 6.5
|
ผักขม
|
1.8 - 2.3
|
6.0 - 7.0
|
พาสเลย์
|
0.8 - 1.8
|
5.5 - 6.0
|
ฟักทอง
|
1.8 - 2.4
|
5.5 - 7.0
|
มะเขือเทศ
|
2.0 - 4.0
|
6.0 - 6.8
|
มะเขือม่วง
|
2.5 - 3.5
|
6.0
|
เมล่อน
|
2.0 - 2.5
|
6.0 - 6.8
|
เรดิช, หัวไชเท้า
|
1.6 - 2.2
|
6.0 - 7.0
|
วอเตอร์เครส
|
0.4 - 1.6
|
6.5 - 6.8
|
สตรอเบอรี่
|
1.8 - 2.2
|
6.0 - 6.8
|
สลัด
|
1.1 - 1.7
|
6.0 - 7.0
|
สะระแหน่, มิ้น
|
2.0 - 2.4
|
5.5 - 6.0
|
สับปะรด
|
2.0 - 2.4
|
5.5 - 6.5
|
เสาวรส
|
1.6 - 2.4
|
6.5
|
หน่อไม้ฝรั่ง
|
1.4 - 1.8
|
6.0 - 6.8
|
เอ็นไดว์, ชิโคลี่
|
2.0 - 2.4
|
5.8 - 6.5
|
ค่า EC ต่อ ผลผลิตพืช
การปลูกพืชในสารละลายที่มี ค่า EC สูง กับ การปลูกพืชในสารละลายที่มี ค่า EC ต่ำ มีผลต่อการเจริญเติบโตของพืช ไปในทิศทางใด และให้ผลผลิตที่สูงต่ำกว่ากันอย่างไร ต้องศึกษาค่ะ
โดยทั่วไปในระบบ Hydroponics การวัดความเข้มข้นของสารละลายในถังสารละลาย จะวัดเป็นค่า EC ( Electrical Conductivity ) โดยมีหน่วยเป็น mS/cm ซึ่งค่าจะอยู่ในช่วงระหว่าง 1 - 4 mS/cm การตอบสนองของผลผลิต ต่อค่า EC คือ เมื่อค่า EC ต่ำ ผลผลิตก็จะต่ำ และเมื่อเพิ่มค่า EC ถึงระดับหนึ่ง จะได้ค่าผลผลิตสูงสุด และเมื่อเพิ่มค่า EC ต่อไป ผลผลิตจะไม่เพิ่ม หลังจากนั้น ถ้าเพิ่มค่า EC ต่อไปอีก ผลผลิตจะลดลง ดังนั้นโจทย์ของพวกเราคือ การหาค่า EC ที่เหมาะสมกับพืชทที่เราปลูกให้ได้ค่ะ
ค่า EC ในที่นี้ หมายถึง ค่า EC บริเวณรากพืชนะคะ ซึ่งอาจจะแตกต่างจาก ค่า EC ของสารละลายในถัง หรือที่เตรียมไว้
เมื่อเราเลี้ยงที่ค่า EC ต่ำ ( < 1.0 mS/cm ) จะทำให้ผลผลิตที่ได้ อ่อนนุ่ม ซึ่งจะดีในการปลูกผักสลัด ทำให้ผักมีรสชาดอร่อย ไม่ขม แต่ถ้าในมะเขือเทศ และพืชผักชนิดอื่นที่เก็บผลสด คุณภาพของผลจะไม่ดี เนื่องจากผลอ่อนนุ่มเกินไป และรสชาติจะไม่ดีด้วย นอกจากนี้จะทำให้อายุหลังเก็บเกี่ยวทั้งผัก และทั้งไม้ดอก ไม้ประดับสั้น แต่เมื่อเพิ่มค่า EC ให้สูงขึ้น จะช่วยให้พืชมีความแข็งแรงมากขึ้น มีการเจริญเติบโตเร็วขึ้น เพิ่มน้ำหนักใบ ผลและดอก ทำให้คุณภาพผลผลิตดีขึ้น เช่น มะเขือเทศ จะมีปริมาณน้ำตาลเพิ่มขึ้น ปริมาณธาตุอาหาร และกรดในผลเพิ่มขึ้น และมีอายุหลังเก็บเกี่ยวนานขึ้น แต่ถ้าค่า EC สูงมากเกินไป จะทำให้ผักสลัดมีรสขมได้
การปลูกพืชที่มี ค่า EC สูงๆ จะดูแลยากกว่า การปลูกใน EC ที่ต่ำค่ะ เพราะการปลูกใน EC สูงๆ อาจทำให้มะเขือเทศ เกิดอาการผลเน่าที่ปลาย ( Blossom – end rot ) ส่วนผักสลัด อาจเกิดอาการยอดไหม้ ( Tip burn ) ได้
ค่า EC ต่อ ผลผลิตพืช
การปลูกพืชในสารละลายที่มี ค่า EC สูง กับ การปลูกพืชในสารละลายที่มี ค่า EC ต่ำ มีผลต่อการเจริญเติบโตของพืช ไปในทิศทางใด และให้ผลผลิตที่สูงต่ำกว่ากันอย่างไร ต้องศึกษาค่ะ
โดยทั่วไปในระบบ Hydroponics การวัดความเข้มข้นของสารละลายในถังสารละลาย จะวัดเป็นค่า EC ( Electrical Conductivity ) โดยมีหน่วยเป็น mS/cm ซึ่งค่าจะอยู่ในช่วงระหว่าง 1 - 4 mS/cm การตอบสนองของผลผลิต ต่อค่า EC คือ เมื่อค่า EC ต่ำ ผลผลิตก็จะต่ำ และเมื่อเพิ่มค่า EC ถึงระดับหนึ่ง จะได้ค่าผลผลิตสูงสุด และเมื่อเพิ่มค่า EC ต่อไป ผลผลิตจะไม่เพิ่ม หลังจากนั้น ถ้าเพิ่มค่า EC ต่อไปอีก ผลผลิตจะลดลง ดังนั้นโจทย์ของพวกเราคือ การหาค่า EC ที่เหมาะสมกับพืชทที่เราปลูกให้ได้ค่ะ
ค่า EC ในที่นี้ หมายถึง ค่า EC บริเวณรากพืชนะคะ ซึ่งอาจจะแตกต่างจาก ค่า EC ของสารละลายในถัง หรือที่เตรียมไว้
เมื่อเราเลี้ยงที่ค่า EC ต่ำ ( < 1.0 mS/cm ) จะทำให้ผลผลิตที่ได้ อ่อนนุ่ม ซึ่งจะดีในการปลูกผักสลัด ทำให้ผักมีรสชาดอร่อย ไม่ขม แต่ถ้าในมะเขือเทศ และพืชผักชนิดอื่นที่เก็บผลสด คุณภาพของผลจะไม่ดี เนื่องจากผลอ่อนนุ่มเกินไป และรสชาติจะไม่ดีด้วย นอกจากนี้จะทำให้อายุหลังเก็บเกี่ยวทั้งผัก และทั้งไม้ดอก ไม้ประดับสั้น แต่เมื่อเพิ่มค่า EC ให้สูงขึ้น จะช่วยให้พืชมีความแข็งแรงมากขึ้น มีการเจริญเติบโตเร็วขึ้น เพิ่มน้ำหนักใบ ผลและดอก ทำให้คุณภาพผลผลิตดีขึ้น เช่น มะเขือเทศ จะมีปริมาณน้ำตาลเพิ่มขึ้น ปริมาณธาตุอาหาร และกรดในผลเพิ่มขึ้น และมีอายุหลังเก็บเกี่ยวนานขึ้น แต่ถ้าค่า EC สูงมากเกินไป จะทำให้ผักสลัดมีรสขมได้
การปลูกพืชที่มี ค่า EC สูงๆ จะดูแลยากกว่า การปลูกใน EC ที่ต่ำค่ะ เพราะการปลูกใน EC สูงๆ อาจทำให้มะเขือเทศ เกิดอาการผลเน่าที่ปลาย ( Blossom – end rot ) ส่วนผักสลัด อาจเกิดอาการยอดไหม้ ( Tip burn ) ได้
แหล่งที่มาข้อมูล
ขอบคุณที่มา:
h2ohydrogarden.com
ZEN Hydroponics.blogspot.com
aphydrofarm.com